THE 2-MINUTE RULE FOR บทความ

The 2-Minute Rule for บทความ

The 2-Minute Rule for บทความ

Blog Article

มีหญิงสาวตาบอดคนหนึ่งผู้รู้สึกเกลียดตัวเองที่ตาบอด

เชื้อเชิญให้ทุกคน “เขียน” ไม่ว่าจะเป็นงานแนวไหน

เหนือกว่าหน้าที่คือสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง เรากำลังเขียนงานๆ นี้ให้ใคร คนที่เราต้องการจะสื่อเนื้อความในตัวอักษรไปหาคือคนกลุ่มไหนเป็นหลัก

ตัวอย่างเช่น ถ้าอยากเขียนเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ เราอาจคิดว่า “ในฐานะผู้บริโภคเราต้องรู้ว่าการติดฉลากออร์แกนิกมีความสำคัญต่อบรรจุภัณฑ์อาหารอย่างไร แต่เรายังไม่รู้ความสำคัญของการติดฉลากออร์แกนิกเลย”

ระดมสมองคิดหัวข้อ. เขียนรายการหัวข้อที่น่าจะเขียนได้ เราอาจอยากเขียนเกี่ยวกับการอพยพหรืออาหารออร์แกนิก หรือศูนย์พักพิงสัตว์ใกล้บ้านเรา เราต้องทำให้หัวข้อแคบลงเพื่อจะได้เขียนออกมาเชื่อมโยงกันและสั้นกระชับ อีกทั้งเขียนได้เจาะลึกยิ่งขึ้น ผลที่ได้คือทำให้บทความของเรามีความหนักแน่นมากขึ้น ถามตนเองด้วยคำถามดังต่อไปนี้ เราสนใจอะไรในหัวข้อนี้

ตัวอย่างเช่น ถ้าเรากำลังเขียนบทความให้ผู้ที่อยู่ในแวดวงวิชาการอ่าน น้ำเสียงและวิธีการเขียนก็จะแตกต่างไปจากการเขียนบทความให้กับนิตยสารทั่วไป

ตรวจแก้งาน. หาเวลาตรวจแก้และปรับปรุงบทความ ถ้ามีเวลา ละจากงานเขียนนี้สักหนึ่งหรือสองวันก่อนตรวจแก้ เราจะได้หยุดง่วนอยู่กับงานเขียนไปสักพัก จากนั้นค่อยกลับมาดูงานด้วยสมองที่แจ่มใส ดูประเด็นหลักหรือประเด็นที่เรากล่าวถึงอย่างละเอียด ทุกอย่างในบทความนี้สนับสนุนประเด็นของเราไหม มีย่อหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเปล่า ถ้ามี ก็ควรตัดออกหรือปรับเนื้อหาให้สนับสนุนประเด็นหลัก

เพราะความเงียบ อาจถูกตีความเบื้องต้นว่าคือความสงบ ไม่เคลื่อนไหว ไร้พลัง กระทั่งภาวะจำยอม แต่ที่จริง “เงียบ” นี้ก็มีพลัง ลองดูกันว่าควรใช้มันอย่างไร

“ดูแลตาของฉันให้ดีด้วยนะ..ที่รัก” ข้อคิด : เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป จิตใจของคนก็เปลี่ยนตาม

เราอยากรักษาสุขภาพ… แต่เลือกไปคาเฟ่มากกว่าไปออกกำลังกาย

ไม่ควรเกริ่นยาวเกินไป ควรพูดให้ตรงกับเนื้อหา และสิ่งที่ผู้อ่านคาดหวังว่าจะได้จากบทความนั้นๆ โดยอาจเล่าให้เห็นภาพว่าทำไมบทความนี้สำคัญกับผู้อ่าน ทำไมบทความนี้ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้อ่านได้ หรือบทความนี้กำลังจะพาผู้อ่านไปพบกับอะไร 

เป็นเงื่อนไขให้ตัวเขาได้แต่งงานกับลูกสาวเถ้าแก่เพื่อแลกกับการล้างหนี้ทั้งหมด

บทความธุรกิจ-การตลาด การบริหาร การจัดการ

บทความนี้นำเสนอประเด็นที่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ไม่ได้ระบุในคำแถลงนโยบายต่อการแก้ปัญหาฝุ่นพิษข้ามแดน ซึ่งนอกจากจะไม่นำไปสู่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริงแล้ว บทความ อาจซ้ำเติมปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันอีกด้วย

Report this page